"ทุกคนมีแผนที่วางไว้กันทั้งนั้นแหละ แต่รอให้พวกเขาโดนหมัดอัดเข้าปากก่อนก็เเล้วกัน"
หากจะบอกว่าใครคือนักกีฬาที่ใช้ชีวิตได้ขึ้นสูงสุดและลงสูงสุดสลับไปสลับมาจนเดาอนาคตไม่ถูกคงหนีไม่พ้น ไมค์ ไทสัน อดีตแชมป์มวยสากลรุ่นเฮฟวี่เวตเป็นแน่แท้
ทุกคนรู้ว่าตอนนี้เขาร่ำรวยจากกัญชา และก็รู้อีกว่าเขาเคยตกต่ำถึงขนาดต้องนอนคุกและเป็นได้แค่มวยหมดสภาพที่ต้องรับงานต่อยโชว์ในคาสิโนที่ ลาส เวกัส .... แต่ก็นั่นแหละทุกคนมีแผน แต่รอให้โดนหมัดอัดเข้าปากก่อนก็เเล้ว...จะได้รู้ว่าแค่การวางแผนอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ชีวิตการันตีว่าคุณจะเดินไปในทางที่ถูกที่ควร
นี่คือเรื่องราวสมัยที่ "ไอออน ไมค์" ไม่มีเงินในกระเป๋า ร่างกายหมดสภาพเกินกว่าจะเอาดีด้านการเป็นนักมวยอีกครั้ง... ทว่า "ตัวตน" ของเขากลับถูกขัดเกลาให้ผงาดในศาสตร์ของการแสดงที่เขาสามารถใช้หากินมาจนถึงทุกวันนี้
หมัดหมดสภาพ แต่คาแร็คเตอร์ยังอยู่
จุดเปลี่ยนที่ทำให้โคตรมวยรุ่นยักษ์กลายเป็นสิงห์ขี้คุก และมีหนี้สินพันตัวมากมาย เกิดจากการใช้เงินที่มีแบบไม่บันยะบันยัง อีกทั้งเขายังเป็นพวกได้ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงประมาณว่าต่อให้ตายพรุ่งนี้ข้าก็ไม่เสียดายอะไรแบบนั้น ดังนั้นเราจึงได้เห็นการทำตัวที่ "ผิด" ไปจากคนอื่นๆทั่วไปจากเขาหลายต่อหลายครั้ง อย่าว่าแต่เป็นคนดีเลย เอาแค่เป็นคนธรรมดาๆ ก็ถือว่ายังเป็นเรื่องยากของ ไทสัน ในช่วงเวลานั้น ช่วงที่เจ้าตัวได้ฉายาว่า "ผู้ชายที่เลวที่สุดในโลกนี้" (The Baddest Man on the Planet)
ในช่วงปลายยุค 90 's ไทสัน ทำเงินที่หามาตลอด 10 ปี เป็นจำนวน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหมดเกลี้ยงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเหตุผลที่เงินขนาดนี้หมดได้นั้นมันมีมากกว่าการใช้สุรุ่ยสุร่าย แต่มันคือการไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย ทั้งเรื่องของภาษี คดีความ เป็นเหตุผลหลักๆที่ทำให้ ไทสัน ตกสวรรค์ จากมวยที่ทำเงินเป็นสิบล้านต่อไฟต์ กลายเป็นมวยโชว์ในลาส เวกัส ไปโดยปริยาย
แม้เงินทองและชื่อเสียงจะจากไป แต่สิ่งที่หนึ่งไทสัน ไม่ทันรู้ตัวว่ามันยังอยู่กับเขาไม่จากไปไหน ไม่หายไปตามสภาพร่างกาย หรือไม่หายไปพร้อมกับเข็มขัดเเชมป์โลกก็คือ "คาแร็คเตอร์" นั่นเอง
ไทสัน ไม่ได้ดังเพราะชกมวยเก่งอย่างเดียว นักมวยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะในยุคนี้หรือยุคปัจจุบันเกิน 90% มีชีวิตในรูปแบบของนักกีฬา... ฟิตซ้อม, มีความเป็นมืออาชีพ, สม่ำเสมอ และ เป็นแชมเปี้ยน อะไรแบบนั้น แต่ ไทสัน เป็นเหมือนคนที่ก้าวข้ามคำว่านักกีฬาและเข้าไปอยู่ในโหมดเซเลบริตี้หรือ "คนดัง" ไปเเล้ว เขารู้จักคนดังมากมาย มีความสัมพันธ์แบบสนิทแน่นแฟ้นกับ Tupac ตำนานเพลงแร็ปของโลก เป็นเเรงบันดาลใจตัวละครในวีดีโอเกมต่างๆมากมาย เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่อยู่ใน "ป๊อป คัลเจอร์" อยู่ตลอดเวลา
ทุกสิ่งที่เขาพูด สื่อล้วนอยากฟังเพราะเขาเป็นคนอารมณ์ขัน เข้าใจเปรียบเทียบอะไรๆได้หลายรูปแบบทั้งแบบฮาๆ หรือไม่ก็คำคมซึ้งกินใจ ... กิจวัตรแต่ละอย่างของเขามักจะไม่ธรรมดา ลีลาท่าทางทุกครั้งที่ออกกล้อง มันแพรวพราวเกินกว่าระดับนักกีฬาเข้าไปเยอะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ไทสัน มักจะโดนสื่อตามติดไลฟ์สไตล์ไม่ต่างกับดาราฮอลลีวู้ดเลยทีเดียว คาแร็คเตอร์เหล่านี้แหละที่ทำให้ ไทสัน จัดอยู่ในหมวดหมู่นักกีฬาที่ต่อให้ไม่เก่งแล้วก็ยังขายได้เสมอ และนั่นคือจุดพลิกผันของชีวิตแชมป์โลกผู้ตกอับ
ดาราแสนห่วย
พรสวรรค์แรกของไทสันคือพลังหมัดทุกคนรู้เรื่องนี้ แต่ละไฟต์ของเขาหากคุณมาดูถ่ายทอดสดช้าไปเพียง 10 วินาที เกมอาจจะจบก่อนแล้วเพราะไทสัน สามารถน็อคเอาต์คู่แข่งได้ตั้งแต่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ แต่พรสวรรค์ที่ 2 ของเขาที่เรียกว่า "เอ็นเตอร์เทนเนอร์" ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ถูกสะกิดขึ้นในช่วงที่เขาเริ่มจะมีรายได้น้อย มันเป็นการติดต่อจากค่ายภาพยตร์ Warner Bros ซึ่งครั้งแรก ไทสัน เองปฎิเสธไปเพราะไม่คิดว่าตนเองจะเหมาะกับงานด้านการแสดงและเอ็นเตอร์เทนแบบนี้ แต่จนเเล้วจนรอดด้วยความอับจนหนทางเขาเลือกจะรับมันและมันก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ปลุกพรสวรรค์ที่ 2 ของเขาให้ตื่นขึ้น
"จริงๆผมไม่อยากทำงานเกี่ยวกับการโชว์หรือการแสดงอะไรมากมายนักหรอก แต่ดีที่ Warner Bros ไม่ฟังคำปฎิเสธของผม และแน่นอนที่สุดพวกเขาฉลาดกว่าผมอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนั้นกลายเป็นว่าผมรู้สึกสนุกกับสิ่งที่พวกเขาให้ผมทำมากจริงๆ" ไทสัน กล่าว
ช่วงแรกของการทำงานในฐานะนักแสดงเขาออกแนวแบบไปงั้นๆ ผู้กำกับบอกให้จำบทก็ไม่จำ ไปเล่นด้นสดเอาหน้างาน จนโดนด่าเละเทะ ซึ่งการโดนด่าแบบนี้สำหรับไมค์ เขารู้สึกว่ามันเจ็บปวดยิ่งกว่าการโดยต่อยบนเวทีเสียอีก
"ผมไม่ใช่คนเก่งการแสดงอะไรเลย ผมคือคนคนแรกที่ทุกคนจะบอกว่านี่ไง ไมค์ ไทสัน จอมโหดนักฆ่าจากสังเวียนมวย เขาเป็นสัตว์ประหลาดโดยธรรมชาติ" ไทสัน เล่าถึงภาพลักษณ์ของเขา
"จำบทคุณด้วยสิโว้ย ไมค์ ปัดโถ่! เสียงนี้ยังดังก้องในจิตใจของผมอยู่เลยนะเชื่อไหม แต่ก่อนเวลารับงานอะไรผมไม่เคยเตรียมพร้อมก่อนออกหน้ากล้องเลย ผมคิดว่าผมเล่นได้แสดงออกมาได้เองเเหละในท้ายที่สุด แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ มันเป็นความผิดพลาดแบบที่พวกอ่อนหัดเขาทำกันทั้งนั้นแหละ" ไทสันเล่าย้อนความสมัยโดนด่าจนหน้าชากลางกองถ่าย
เหตุผลที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงปรี้ดและอีโก้ล้นจนไม่ฟังใคร ไทสัน เองก็พยายามจะปรับตัวกับงานด้านบันเทิงดูบ้าง แต่สภาพจิตใจของเขาในช่วงแรกเริ่มมันไม่ได้อยู่ในสภาพที่มั่นใจเลย เขาเป็นพวกหนีปัญหา เขาหนีปัญหามาตลอดชีวิตจนทำให้ตัวเองต้องตกอับ บนสังเวียนเขาอาจจะไม่กลัวใคร แต่ในชีวิตจริง เขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริง
"ความรู้สึกเดียวที่เหมือนกันระหว่างนักมวยกับนักแสดงคือความกลัว ผมกลัวว่าผมจะล้มเหลว ผมกลัวมาตลอดชีวิต กลัวที่จะติดคุก กลัวคนที่รักจะตาย กลัวการเป็นพ่อและสามีที่ไม่ได้เรื่อง กลัวการสูญเสียเงินที่หามาได้ กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีพอ" เขาเล่าถึงสิ่งที่ทำให้ช่วงแรกๆแม้จะมีงานแสดงบ้าง แต่เขากลับไม่เคยถูกจดจำในฐานะนักแสดงเลย แม้ว่าเขาจะเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกตั้งแต่ปี 1999 แล้วก็ตาม ซึ่งกว่าเขาจะเข้าใจว่าการเป็นนักแสดงนั้นยาก และต้องใช้ความพยายามไม่แพ้การเป็นเเชมป์มวยโลก ที่ใช้เวลาเกิน 10 ปี เลยทีเดียว
ในปี 2012 ไทสัน ในฐานะ "ป๊อป คัลเจอร์" ถูก WWE ค่ายมวยปล้ำที่ดังที่สุดในโลกดึงตัวไปเรียกกระแสในศึก เวสเซิล มาเนีย อย่างที่ทุกคนรู้มวยปล้ำคือการเอ็นเตอร์เทนคนดู ทำให้คนดูเชื่อให้ได้ว่าสิ่งที่คุณพูดไปมันเป็นเรื่องจริง... รับบทแล้วต้องทำให้คนดูคล้อยตามอะไรให้ได้
"คุณดูประหม่านะ อย่าลืมบทเด็ดขาด จำไลน์ของคุณให้ได้ไมค์ ห้ามผิดแม้แต่นิดเดียวจำใส่สมองและฝังมันลงไปให้ลึกที่สุดเลยนะ" เจ้าหน้าที่ แบ็คสเตจ กดดัน ไทสัน ทุกทางเพื่อให้เขาจำบทของตัวเองให้ได้ เพราะถ้าเขาพลาดแค่คนเดียว ศึกใหญ่ครั้งนี้ นักมวยปล้ำทุกคนที่ปล้ำในวันนี้ จะถูกจดจำในฐานะโชว์ที่ห่วยที่สุด
ไทสัน เข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น ถ้าเขายังเช้าชามเย็นยามโอกาสดีๆแบบนี้จะหายไปจากเขาตลอดกาล และเขาจะทำให้คนอื่นๆ ที่พยายามอย่างมากพังลงไปพร้อมกัน การแบกคนอื่นไว้บนบ่าทำให้เขาเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว การเป็นนักมวยเขาเก่งแค่ไหนเขาก็ชนะแค่นั้น เขาห่วยแค่ไหนเขาก็แพ้แค่นั้น ไม่มีใครมาร่วมรับความดี หรือรับผิดด้วย แต่กับการแสดงมันต่างกันเยอะ...การทำงานกับคนหมู่มากสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือความรับผิดชอบนั่นเอง
ไทสัน นึกย้อนกลับไปและรู้สึกว่าเขาต้องพิสูจน์ตัวเอง เขาต้องลบคำสบประมาททั้งหมดให้ได้ เหมือนกับที่เขาเคยทำมาตลอดชีวิตการเป็นนักมวย
"ตอนผมเริ่มชกมวยแรกๆ มีคนบอกว่า "ก็ใช้ได้" หลังจากนั้นผมพัฒนาตัวเองขึ้นอีกพวกเขาเริ่มชมว่า "หมอนี่หมัดไวดีเเฮะ" และเมื่อผมพยายามให้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นคำสรรเสริญเป็น "เขาคือนักสู้ที่สมบูรณ์แบบ" ไทสัน เริ่มเปรียบเทียบ
"กับการแสดงก็เหมือนกันนั่นแหละ ผมไม่เคยได้รับการกล่าวถึงในฐานะนักแสดงที่ดีกับเขาสักครั้งหรอก แต่ผมพยายามแทบตายนะกว่ามาถึงจุดนี้ ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละบทเรียนที่ดีที่สุดมักจะมาพร้อมกับสิ่งที่คุณไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ"
พรสวรรค์มีจริงหรือ?
ถ้าหากว่าคนเราเก่งได้เพียงแค่เพราะมีพรสวรรค์ ไมค์ ไทสัน คงแค่ใส่นวมแล้วออกไปน็อคคู่เเข่งแล้วก็กลับมาปาร์ตี้แหลกตามเคย ทว่าความจริงทุกคนรู้ดีว่า พรสวรรค์ ทำให้คุณได้เปรียบ แต่ไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้ชนะ คุณจำเป็นต้องมีความตั้งใจ, มุ่งมั่น และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ปัจจัยเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จขึ้นมาได้
ไทสัน ที่การแสดงถูกขัดเกลามากขึ้น แต่ก็ยังไม่เอาอ่าวหากเทียบกับนักแสดงแถวหน้า เริ่มมองหาโอกาสที่จะ ทำให้ตัวเองได้ฝึกฝนการพูด การรับมือกับสายตาคนดูมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงรับงานเพิ่มขึ้นมา 1 ชิ้น งานชิ้นนี้นอกจากจะได้เงินแล้วเขายังได้ฝึกสิ่งที่เขาอยากจะฝึกแบบไม่ต้องเข้าคอร์สการแสดงเลยด้วยซ้ำ มันคืองาน "สแตนด์อัพ คอมเมดี้" ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพก็คงเหมือนกับที่ โน้ต-อุดม เเต้พานิช ตำนานเดี่ยวไมโครโฟนของประเทศไทยทำ นั่นคือการเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา เสียดสีสังคมในเชิงตลกโปกฮา เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูนั่นเอง
การเดี่ยวไมค์โครโฟนคือศิลปะที่ไม่ได้ฝึกกันง่ายๆ การจะเอาคนดูให้อยู่ต้องประกอบด้วยเทคนิคหลายอย่าง ความไหลลื่น, การเลือกใช้คำ, การดึงจังหวะ และการเล่นเสียงสูงเสียงต่ำ หรืออะไรต่างๆอีกมากมายเท่าที่จะนึกออก แต่สำหรับ ไทสัน สิ่งที่เขาหวังจากการเดี่ยวไมโครโฟน ณ ลาส เวกัส สัปดาห์ละ 3 วันคือ "มันจะทำให้เขาเอาชนะความกลัวได้"
"มันทำให้ผมกล้าพูดความจริง ชีวิตของผมเหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ดังนั้นการได้เล่าสิ่งที่บ้าคลั่งเหล่านี้ให้คนอื่นได้ฟัง เป็นงานที่ผมชอบมาก บางครั้งที่ผมเล่าบางเรื่องไปผมก็กลัวจะตกนรกเหมือนกัน แต่ทำไงได้ผมก็ต้องทำต่อไป เพราะมันเกิดขึ้นไปเเล้วนี่ ชีวิตการชกมวยของผมมันเป็นอดีตไปเเล้ว ตอนนี้ผมเกิดใหม่เเล้ว ผมไม่เคยหนีความจริง ทุกวันนี้ผมใช้การเล่าเรื่องเป็นอาวุธที่ต่อสู้กับความกลัว...มันเหมือนกับสถานบำบัดความกลัวของผมนั่นเเหละ"
และในเวทีนั้นเอง ไมค์ ไทสัน ได้เจอคนที่เป็นเหมือน "ไลฟ์โค้ช" ด้านการแสดงของเขาที่ชื่อว่า เจเรมี่ พีเว่น นักแสดงตลกชาวอเมริกันที่เคยคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาแล้ว
"ไมค์ นี่คือไอเดียที่ดีที่สุดเท่าที่คุณเคยมีแน่นอนเลย จะบอกอะไรให้ผมโตมากับบรอดเวย์ ผมโตมากับละครเวที เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการจะรู้คุณถามมาได้ทุกเรื่องเลย" เจเรมี่ เริ่มถ่ายทอดวิชาให้กับ ไมค์ หลังจากทั้งคู่เริ่มสนิทกัน ซึ่ง ไทสัน เล่าว่าการคุยกับ เจเรมี่ แต่ละครั้งทำให้เขารู้สึกเหมือนกับการเป็นนักแสดงขึ้นมาจริงๆ เพราะ เจเรมี่ ไม่เคยชวน ไทสัน คุยเรื่องมวย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่แบบนั้น
"เจเรมี่ พีเว่น คือผู้ที่มีจิตใจเอื้ออาทรจิงๆ เขาไม่ได้ต้องการอะไรจากผมเลย เขาแค่อยากแนะนำเรื่องที่ผมอยากรู้ เขาบอกผมเสมอว่า "ฟังนะไมค์ ผมอยากช่วยคุณ" ไทสัน กล่าว และบอกเล่าว่าการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเหล่านี้ทำให้เขาสนุกแค่ไหน
"ตั้งแต่รู้จักกับ เจเรมี่ ผมทำตามคำแนะนำของเขาตลอด ผมพยายามดูการแสดงของนักแสดงแต่ละคนให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่แค่การนอนเอกเขนกบนโซฟาและดูหนังอะไรแบบนั้นนะ แต่ผมนั่งวิเคราะห์นักศึกษาอย่างเป็นระบบ ทำมันอย่างจริงจัง ผมเป็นเหมือนเด็กน้อยที่กำลังสนุกกับอะไรสักอย่าง มันชวนให้ผมคิดถึงตอนที่ผมอยู่กับ กัส ดามาโต้ ชายผู้สอนให้ผมเป็นนักสู้ขึ้นมาเลยล่ะ" ไทสัน กล่าว
การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนที่ เวกัส ของ ไมค์ ไทสัน มีผู้ซื้อบัตรเข้ามาชมมากกว่าที่เขาคิดไว้ ส่วนงานแสดงจากที่เคยได้รับแต่บทตัวประกอบพอได้เรียกเสียงฮา และส่วนใหญ่ก็ได้บทง่ายๆ เช่น การแสดงเป็นตัวเอง (ไทสัน รับบทแสดงเป็นตัวเองในภาพยนตร์ถึง 7 เรื่อง) เขาก็เริ่มได้เล่นบทที่จริงจังมากขึ้น อาทิ การรับบทเป็นตัวโกงในเรื่อง China Salesman ประกบกับตำนานนักบู๊อย่าง สตีเว่น ซีกัล รวมไปถึงการเรื่อง ยิปมัน 3 นอกจากนี้ยังมีละครและซีรีส์จอเงินอีกมากมายที่ ไทสัน มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
เกิดใหม่...
"ผมเป็นเเชมป์โลกเฮฟวี่เวต เข็มขัดเเชมป์พาดตัวเต็มไปหมด แต่เมื่ออยู่ในห้องนี้ (สัมภาษณ์กันในห้องพักนักแสดง) ผมไม่เคยลืมที่จะเตือนตัวเองว่าผมก็แค่มือใหม่คนหนึ่ง จงพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา”
สำหรับคนที่ผ่านเรื่องราวเจ็บปวดมามากมาย เมื่อได้ลองเข้าสู่วงการแสดงเเล้ว ไทสัน กลับรู้สึกว่ามันเหมือนกับการบำบัดสุขภาพจิตของเขา การได้สวมบทบาทต่างๆที่แปลกออกไป การได้พูดคุยกับคนอื่นๆและเเบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองส่งผลให้เขากลายเป็นที่มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น เพราะคนอื่นได้รู้จักเขาอีกด้าน ที่ไม่ใช่ชายผู้เลวที่สุดในโลกอย่างที่ตัวเขาเองก็เข้าใจแบบนั้น
"ผมอยากจะขึ้นแสดงเดี่ยวไมโครโฟนทุกวันเลยจริงๆนะ มันคือสิ่งที่ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งเหมือนกับการชกมวย การแสดงเป็นเรื่องยาก แต่นั่นแหละผมเกิดมาเพื่อทำมัน”
"ผมเกิดมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้คนน่ะ ไม่ว่าจะในฐานะนักมวยหรือนักเเสดง ไม่ว่าจะมีคนดู 3 หมื่นคนหรือแค่ 3-4 คนผมก็รู้สึกแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องทำมันต่อไป" ไทสัน กล่าวในงานโปรโมตซีรีส์ของเขา "Mike Tyson Mysteries" ที่ Comic-Con ในซาน ดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
นอกจากเขาจะพบว่าการสร้างความบันเทิงคือชีวิตของเขาแล้ว งานแสดงมากมายที่เข้ามาทำให้ ไทสัน สามารถล้างหนี้สรรพกรที่เคยมีมากถึง 23 ล้านเหรียญสหรัฐได้สำเร็จ นอกจากนี้เขายังกลับมามีทรัพย์สินประมาณ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะไม่มากเท่าตอนเป็นนักมวย แต่ ไทสัน ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็นอย่างมาก
จนถึงทุกวันนี้แม้ ไมค์ ไทสัน จะร่ำรวยจากการทำธุรกิจกัญชาถูกกฎหมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยทิ้งการแสดงที่เขารัก และรู้สึกว่าเขาจะอินกับมันมากกว่าการถูกเรียกว่าอดีตนักมวยแชมป์โลกอีกด้วยซ้ำไป
"ผมไม่เเยแสกับมวยเเล้ว ผมไม่ใช่นักมวยอีกต่อไป" ไทสัน ตอบถึงความคิดถึงที่มีต่อวงการมวยผ่านเว็บไซต์ The Talk ก่อนพิธีกรจะถามว่าแล้วจะทำยังไงกับคนที่คุณมองว่าเขาเป็นฮีโร่ (ในฐานะนักมวย) ล่ะ? ไทสัน ก็ตอบอย่างชัดเจนว่า
"อืม.. ผมไม่รู้สิ ผมแค่พยายามใช้ชีวิตของตัวเองและเป็นคนที่ผมเป็น ถ้าพวกเขายอมรับผมจริงๆ พวกเขาก็ต้องเข้าใจถึงตัวตนและสิ่งที่ผมเป็น ผมหมายถึงอะไรรู้ไหม? บางครั้งชีวิตก็ขึ้นสูง บางทีชีวิตผมก็ตกต่ำ บางครั้งผมก็อ่อนแอ นั่นล่ะตัวตนของผมจริงๆ สิ่งที่พวกคุณจำมันเป็นมุมของการแสดงเท่านั้น จริงๆแล้วผมก็มีชีวิตในมุมส่วนตัวเหมือนกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่งล่ะนะ"
หากย้อนกลับไปวันแรกที่ ไทสันนักมวยไม่มีใครนึกภาพออกว่านักเลงน้อยจากย่านเสื่อมโทรมในนิวยอร์คจะกลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวตที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง และมันคงจะยากที่หาคนที่เชื่อว่าเขาจะมีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย ได้เป็นดาราทำสิ่งที่ตัวเองรักอย่างการแสดง และเป็นนักธุรกิจระดับมิลเลี่ยนแนร์เช่นนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วนักมวยมักจะมีปัญหาหลังอาชีพการชกแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะนักชกอย่าง ไทสัน ที่คนมองว่า "เป็นพวกไม่วางแผนชีวิต" ใช้ชีวิตกันไปแบบวันต่อวัน
"ทุกคนมีแผนที่วางไว้กันทั้งนั้นแหละ แต่รอให้พวกเขาโดนหมัดอัดเข้าปากก่อนก็เเล้วกัน" นี่คือสิ่งที่บอกและอธิบายถึงชีวิตของตัวเอง และมันพอจะบอกได้ว่าบางครั้งการวางแผนล่วงหน้าเพียงอย่างเดียวก็ไม่ช่วยอะไร หากไม่สามารถรับมือ, เรียนรู้กับ และปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตเพราะโลกนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น
หาตัวเองให้เจอ อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก มีความสุขในแบบที่ตัวเองสุขจริงๆไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร.. นี่คือสิ่งที่การแสดงมอบให้กับ ไมค์ ไทสัน และทำให้ ณ เวลานี้เขากลายเป็นผู้ชายที่ยิ้มกว้างที่สุดคนหนึ่งบนโลกนี้..
อังคาร 10 ธ.ค. 2567 00:00 [ 41]
อ่านต่อจันทร์ 7 ต.ค. 2567 00:00 [ 1,432]
อ่านต่อศุกร์ 4 ต.ค. 2567 00:00 [ 1,629]
อ่านต่ออังคาร 17 ก.ย. 2567 00:00 [ 136]
อ่านต่อ